แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Food แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Food แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Fauchon ราชาอาหารของฝรั่งเศล (2)

จากคอลัมน์ Modern Life Style เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2553 : http://www.thaistudents.nl/node/79

Maison (เมซง) ภาษาฝรั่งเศลแปลว่า บ้าน แต่หากศัพท์วงการ Luxury brand แปลว่า เหล่าสินค้าที่มีคุณค่าของ Brand ที่เหนือกว่า Brandname ทั่วไป หรือเรียกอีกแบบว่า Superbrand
สินค้าที่จะเรียกตนเองว่า Maison ได้ ต้องไม่ใช่เพียงแค่การมีภาพลักษณ์ที่ดูเป็นสินค้าไฮโซเท่านั้น แต่ต้องมีเรื่องราว และระยะเวลาของการดำรงอยู่ของ Brand นานกว่าสินค้าทั่วไป ดังนั้นจึงจำเป็นที่ Brand นั้นๆ จะเป็นกิจการครอบครัวเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยจะมีการสืบทอดธุรกิจนั้นๆ จากรุ่นสู่รุ่น Brand ที่เรียกตัวเองว่าเป็น Maison อย่างเช่น Louis Vuitton หรือ Hermes แบรนด์สินค้าพวกนี้มิเพียงสะท้อนภาพลักษณ์ของตัวดีไซน์เนอร์ หรือเอาดีไซน์เนอร์เป็นแบรนด์ อย่าง Chanel, Paul Smith หรือ Armani แต่เกิดมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อตัวสินค้านับร้อยปี การควบคุมคุณภาพของสินค้าและเคล็ดลับการทำกระเป๋าของครอบครัว Vuitton และ Hermes ทำให้สินค้าของสองตระกูลนี้ ยังขายได้แม้ ผู้ก่อตั้งหรือตัวดีไซน์เนอร์ จะเสียชีวิตไปเป็นร้อยปี แต่ Maison ไม่ได้จำกัดอยู่ในแบรนด์ของเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าอาหารด้วย



Fauchon (โฟชง) คือ หนึ่งในแบรนด์สินค้าอาหารที่ชาวฝรั่งเศลขนานนามว่าเป็น Maison แต่หลายปีที่ผ่านมา ภาพลักษณ์สินค้าด้านอาหารของ Fauchon เข้าสู่จุดตกต่ำ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารบ่อยมาก และนโยบายของผู้บริหารก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์ของ Fauchon รวนเรไปหมด ประกอบกับแบรนด์ Maison อาหาร ที่เป็นคู่แข่งของ Fauchon ก็ไม่ได้มีแค่แบรนด์เดียว ในฝรั่งเศลมีแบรนด์ Gourment food Store หรูๆอยู่หลายแบรนด์ เช่น Lenotre หรือ Hediard นอกฝรั่งเศลก็มีแบรนด์เช่น Harrods ในลอนดอน หรือ TWG ของสิงค์โปร์ อีกแบรนด์ที่ตามมาติดๆ อย่าง Dean&Deluca ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในนครนิวยอรก์
ในช่วงทศวรรษที่ 70 Fauchon มีการขยายสาขาอย่างมาก (โดยเฉพาะในญี่ปุ่น) เพื่อรองรับเศษฐกิจเฟื่องฟูในช่วงนั้น มีการลงทุนเพิ่มอย่างมาก Fauchon เปิดร้านอาหารในแบรนด์ของตัวเองเยอะแยะมากมายในปารีส เพิ่มสินค้าตัวเองเยอะมาก ทั้งๆที่สินค้าที่ขายดีที่สุดของ Fauchon ก็มีเพียงแค่ชาและตับห่านกระป๋องเท่านั้น อีกสิ่งหนึ่งคือ ตระกูลโฟชงได้ขายกิจการของตนเองให้ไปอยู่กับ Joseph Pilosoff และก็ส่งต่อไปอีกมือให้กับ Martine Premat โดยปัญหาเกิดจาก Martine Premat มีนโยบายนำสินค้าของ Fauchon ไปขายในตลาด Mass (ตลาดบ้านๆ) โดยมีการวางจำนายสินค้าใน Carrefour และซุปเปอร์มาร์เก๊ตทั่วไป รวมถึงคาสิโนบางแห่งให้ยุโรป โดยขายในราคาถูกกว่าที่ร้านหลัก(Flagship store) ของตนเอง ทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าของFauchon ช่วงนั้นดูแย่มากและเจอวิกฤติหนักจริงๆเมื่อ Premat ได้ทำการสร้างเรือสำราญของตนเอง ที่มีชื่อว่า La Fauchon (The Fauchon) โดยให้บริการบนเกาะแคริเบียนของฝรั่งเศลที่มีชื่อว่า Saint Martin เปิดมาได้เกือบสองปี เรือลำนี้ได้ดูดเงินของ Fauchon ไปอย่างมาก และต้องขายกิจการเรือสำราญให้บริษัทอื่นในที่สุด
โดยส่วนตัวผมคิดว่า คุณ Premat คงไม่เข้าใจเรื่องการสร้างแบรนด์เลย เค้าได้เอาแบรนด์ที่มีราคามากๆ แบรนด์หนึ่งไปทำให้ภาพลักษณ์ของเค้าดูตกต่ำ เอาไปใช้อย่างตลาดยังไม่พอ ยังเอาไปทำให้เกิดงงงวยของผู้บริโภคต่อแบรนด์อีก ภาษาการ Branding เรียกว่า การทำให้เกิด Vague Brand คือ การทำให้ผู้บริโภคไม่รู้ว่า ไอ้แบรนด์ๆนี้ มันมีไว้ทำอะไร ไม่มั่นใจต่อสิ่งที่เค้าทำออกมาใหม่ รวมถึงทำให้คุณค่าของแบรนด์ต่อสินค้าที่เค้าชำนาญลดน้อยลง Case นี้ไม่ได้มีแค่ Fauchon เจ้าเดียวที่พลาด แต่ Ferrari แบรนด์รถยี่ห้อดังจากอิตาลีก็เคยพลาดแล้ว เพราะเคยสร้าง Laptop เป็นของตนเองร่วมกับ Acer แต่ขายได้น้อยและมีเสียงติต่อสินค้าเยอะมาก




Premat ตัดสินใจที่จะขาย Fauchon ให้กับ Lauvent Adamowicz ในปี 1988 คุณ Adamowicz ได้พลิกฟื้น Fauchon จากบริษัทใกล้ล้มละลาย ให้เป็นบริษัทกำไรได้ภายใน 5 ปี โดยมีกำไรอยู่ที่ 64 ล้านยูโรในปี 2003 ก่อนที่เค้าจะขายหุ้นให้กลุ่มบริษัทของเบลเยี่ยมสิ่งแรกที่ Adamowicz ทำคือ การตัดสินใจปิดร้านอาหารของ Fauchon ทั้งหมดบนถนน Madeleine ให้คงเหลือไว้แค่ร้านน้ำชาของตัวเอง รวมถึงสร้างโรงเก็บไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในปารีสด้วย (Fauchon มีชื่อเสียงมาเรื่องการหาไวน์ที่สุดยอดมารวมไว้) ต่อมา Adamowicz ก็ได้ใช้เส้นสายกับAir France ส่งสินค้าของตัวเองขึ้นไปเป็นอาหารบนเครื่องบิน แต่ต้องชั้น First Class เท่านั้น รวมถึงอาหารบนเครื่องบิน Concord (อดีตเครื่องบินที่บินได้เร็วที่สุดในโลก) นอกจากจะเป็นการหาช่องทางเพิ่มกำไรให้กับ Fauchon แล้วยังเป็นการสร้างแบรนด์ที่ดีด้วย
Fauchon ได้เปิด Food Conner ในสนามบินทั่วโลก Rebranding ภาพลักษณ์ของสินค้าตัวเองใหม่หมดโดยมี Theme มาจาก Luxury Fashion Brand ของ Paris มีการเปลี่ยน Packaging ให้ดูทันสมัย และเปิดเว็ปไซต์ที่ไม่ต่างอะไรจากเว็ปไซต์เสื้อผ้าแฟชั่น Fauchon ในช่วงนั้นยังได้พ่อครัวทำขนมชื่อก้องโลกอย่าง Pier Herme มาร่วมงาน

ในด้านบริหาร Adamowicz มอบลิขสิทธิ์การบริหารร้านในอเมริกาส่วนใหญ่ให้กับบริษัท Waldo ในDuty Free ให้กับ DSF Galleria(บริหารโดย LVMH ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การบริหาร Louis Vuitton) และในญี่ปุ่นกับสิงค์โปรให้กับกลุ่มห้าง Takashiyama (เปรียบดังกลุ่มห้างเซ็นทรัลของไทย) ทำให้ Adamowicz ลดภาระในการดูแลต้นทุนการขยายสาขาและการดูแลร้านค้าในต่างประเทศได้ในปี 2003 Adamowicz ได้ขายหุ้นส่วนใหญ่ของเค้าให้กับบริษัท Compagnie du Bois Sauvage ของเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นเจ้าของ Chocolate แสนอร่อยอย่าง Neuhaus แต่Adamowicz ก็ได้ถอนหุ้นทั้งหมดออกจาก Fauchon เมื่อทราบว่า Compagnie du Bois Sauvage จะเลือก Michel Ducros ขึ้นมาเป็นผู้บริหารของ Fauchon ซึ่ง Adamowicz คัดค้านที่จะให้คนๆนี้ขึ้นมาเป็นผู้บริหารตลอดเวลาDucros มีนโยบายการขยายสาขาสู่ต่างประเทศให้มากขึ้น และบริหารสาขาของ Fauchon ในต่างประเทศเองทั้งหมด Ducros ได้เปิดFauchon ใน ปักกิ่ง ในสวิสเซอร์แลนด์ และโมนาโค สองปีให้หลังร้านในปักกิ่งก็ต้องปิดตัวไปในที่สุด Ducros มีนโยบายนำสินค้าของ Fauchon เข้าสู่ตลาดบ้านๆอีกครั้ง โดยมีการเอาสินค้าไปวางขายใน Carrefour ทำให้ภาพลักษณ์ของ Fauchon ตกต่ำอีกครั้ง อีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้ Ducros ต้องเอามือกายหน้าผากคือ Dammann Frères บริษัทที่Fauchon นำเข้าใบชามาขาย(และขายดีด้วย) ออกมาเปิดร้านสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองเป็นคู่แข่งกับ Fauchon รวมถึงพ่อครัวทำขนมชื่อดังอย่าง Pier Herme ก็ออกมาทำร้านของตัวเองเช่นกัน ปัจจุบัน Fauchon กำลังอยู่ในช่วงวิกฤติอีกครั้ง และเราคงต้องดูต่อไปว่า Fauchonจะไปรอดหรือไม่รอด
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Fauchon เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ประกอบการ(หรือผู้ที่ต้องการประกอบการ) ในการสร้างแบรนด์สินค้าอาหาร ประเทศไทยกับฝรั่งเศลมีชื่อเสียงด้านอาหารและวัตถุดิบเหมือนกัน ผมคิดว่าประเทศไทยน่าจะเอาตัวอย่างจากฝรั่งเศลได้หลายอย่าง Fauchon เป็นตัวอย่างที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและการระมัดระวังให้แก่คนที่ทำธุรกิจอาหารได้ และทำให้เราเห็นว่า เราสามารถสร้างแบรนด์อาหารสร้างเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้จริงๆ ไม่ใช่ทำได้แค่ เพื่อส่งออก แต่ได้เงินกลับเข้ามานิดเดียว


Fauchon ราชาอาหารของฝรั่งเศล (1)

จากคอลัมน์ Modern Life Style : http://www.thaistudents.nl/node/26

เปิดตู้เย็นก็เจอแต่ชีสของรูมเมท บนตู้ก็มีแต่มาม่า บนโต๊ะก็มีแต่ขนมไร้ซึ่งประโยชน์ ซึ่งเห็นแล้วก็อาจจะเป็นโรคเบื่ออาหารได้ ยิ่งเปิดดูหน้าเว็ปของร้าน Fauchon ของฝรั่งเศล ที่อ่านว่า โฟชง ก็ยิ่งหิวเข้าไปใหญ่

ผมเป็นคนที่ชอบกินขนมหวานมาก โดยเฉพาะเวลาที่ต้องทำงานดึกๆ แต่ตั้งแต่มาเรียนอยู่ที่ฮอลแลนด์แล้ว ประเทศนี้ไม่ได้มีขนมอร่อยๆเหมือนประเทศยุโรปอื่นๆ และผิดหวังกับอาหารที่ไม่หลากหลายของที่นี้มากๆ ด้วยเหตุนั้นเอง ผมจึงชอบเปิดไปดูเว็ปไซต์ของโฟชง เพื่อไปกระตุ้นความอยากอาหารของตัวเองเสมอ จนกระทั่ง เมื่อต้นปีนี้ ผมมีโอกาสไปเที่ยวปารีส จึงอดไม่ได้ที่ต้องไปแวะ Fauchon ที่ถนน Medeleine ใจกลางกรุงปารีส


ความจริงแล้วโฟชง ก็ไม่ได้มีรสชาติอาหารที่ดีเลิศอะไรมากมาย มีแค่อาหารบางอย่างเท่านั้นที่มีชื่อเสียงมากๆ เช่น ชา ตับห่าน หรือ คารเวียร์ ส่วนมากาฮงนั้นก็เคยมีชื่อเสียงมาก เพราะสมัยก่อนคนที่ทำมากาฮงให้กับ Fauchon คือ Pierre Herme เจ้าพ่อมากาฮง ซึ่งปัจจุบันก็ออกมาเปิดร้านของตัวเองในปารีสและที๋โตเกียว ไอติมของ Fauchon เองก็มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายคือ ผมไม่เคยกินไอติมโฟชงในปารีส เคยกินเฉพาะตอนที่เค้าเอามาแจกให้บนเครื่องบินของ Singapore Airline แต่สิ่งที่ทำให้ผมหลงไหลใน Fauchon ไม่ใช่รสชาติของอาหาร แต่เป็นวิธีที่เค้าสามารถยกระดับ สินค้าเกษตรธรรมดาเป็นแบรนด์ระดับ A+ ได้

เมื่อย้อนไปเมื่อหกถึงเจ็ดปีก่อน ผมเคยได้ยินรัฐบาลคุณทักษิณบอกว่า เค้าอยากจะยกระดับสินค้าเกษตรไทยให้ไปสู่สากล แล้วก็มีโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก ในสายตาของคนธรรมดาอย่างผมก็นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำแบบไหน หากจะนึกถึงสินค้าเกษตรที่ไปก้าวสู่สากล ก็คงมีเพียงสินค้าของ CP หรือสินค้าของเครือสหพัฒน์ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ก็รู้จักกันดี

จนกระทั่งเมื่อครั้งที่ขึ้นเครื่องบินของ Singapore Airline จากสิงคโปร์ไปกัวลาลัมเปอร์เมื่อปี 2007 แอร์โฮสเตสเอาไอติมของโฟชงมาแจก เป็นไอติมที่รสชาติดีมาก จึงไปหาข้อมูลมาเพิ่มว่า อะไรคือ Fauchon

จึงพบว่า Fauchon ไม่ได้ทำแค่ไอติมหรือขนมหวาน แต่Fauchon คือ Louis Vuitton ของสินค้าด้านอาหาร หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Top Food

จากร้านขายของข้างถนนในปารีส พ่อค้าไวน์ที่ชื่อ โอกุส โฟชง ได้ก่อตั้งร้านขายของ ของตนเองโดยใช้นามสกุลตัวเองเป็นชื่อร้าน ในปี 1886

คุณโฟชงนั้น ก็ไปเสาะแสวงหา สินค้าอาหารใหม่ๆแปลกๆ มาขายที่ร้านของตัวเอง และที่สำคัญต้องมีคุณภาพ จนร้านของโฟชงนั้น มีชื่อเสียง และได้รับการขนานนามเป็นร้านขายสินค้าทางด้านอาหารชั้นนำของปารีส

จากการที่ร้านของโฟชงนั้น เป็นที่น่าเชื่อถือ ทำให้โฟชงเริ่มผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง โดยสินค้าที่มีชื่อเสียงของโฟชง คือ Foie Gras หรือตับห่าน ไข่ปลาคาร์เวียร์อันแสนจะแพง และชา

เนื่องจาก Fauchon เอง เป็นธุรกิจครอบครัว เหมือนที่คนจีนว่าไว้ ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่ รุ่นลูกมักจะทำสู้รุ่นพ่อไม่ได้ และต้องปิดกิจการในรุ่นหลาน แล้วในฝรั่งเศลเองสิ่งที่คนจีนพูดก็ใช้ได้กับ Fauchon

ครอบครัวโฟชงจำใจต้องขาย Fauchon ให้กับบริษัทอื่นในที่สุด แล้วก็ถูกเปลี่ยนมือมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันมาตกอยู่ในมือของ Laurent Adamowicz ผู้ซึ่งตั้งใจจะพัฒนาร้านค้าบนถนน Medeleine โดยใช้ Fauchon เป็นศูนย์กลาง

จุดเด่นของสินค้า โฟชง คือ

1.ให้ความสำคัญของต้นกำเนิดของสินค้า เช่น เห็ด Truffle อัดกระป๋อง ก็จะไม่ได้ระบุเพียงว่า เห็ดนี้มาจากไหน แต่ก็จะบอกว่ามาได้อย่างไร แล้วพื้นที่ที่สินค้ากำเนิดนั้นเป็นอย่างไร สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อว่า นี้เป็นการสร้างรสชาติของสินค้าให้อร่อยได้ตั้งแต่ยังไม่กินเลยด้วยซ้ำ

2.Packaging ของโฟชง จะถูกดีไซน์เป็นอย่างดี ผมไม่รู้หรอกว่าข้างในรสชาติเป็นยังไง แต่เห็นPackaging แล้ว มันอยากซื้อทุกทีไป

หากถามเรื่องรสชาตินั้น เนื่องจากโฟชง มีสินค้าเยอะมาก บางอย่างก็อร่อย และบางอย่างก็เฉยๆ(หรือไม่อร่อย) โฟชงก็แก้ไขโดยการตั้งทีมทำวิจัยด้านรสชาติอาหาร และเชิญพ่อครัวเก่งๆ มาคิดสูตรอาหารให้กับโฟชง ทำให้สินค้าของโฟชงนั้นดูมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา

สิ่งที่โฟชง นำมาใช้มากที่สุด ในการสร้างแบรนด์ให้กับตัวเองคือ การล๊อบบี้ คนดังมาทานข้าว เช่น แจ็กเกอลีน แคนเนดี้ หรือ มาดาม ชาลเดอโกล

แต่สิ่งที่ผมสนใจของโฟชงคือ โฟชงพยายามนำแบรนด์ความเป็นผู้นำทางด้านอาหารของประเทศฝรั่งเศล มาใช้สร้างความแข็งแกร่งให้กับโฟชงตลอดเวลา โฟชงมักจะโยงสินค้าตัวเองเชื่อมกับความเป็นฝรั่งเศล เช่น ตับห่าน เลี้ยงบนดินที่อุมดมสมบูรณ์จากทางตอนใต้ของฝรั่งเศล ไวน์ชาลโตแถวๆบอร์กโด แม้ว่าคาร์เวียร์จะมาจากทะเลสาปดำหรืออิหร่านก็ตาม โฟชงก็จะบอกว่า ถูกนำมาคัดกรองและหมักแบบฝรั่งเศลในฝรั่งเศสก่อนถูกนำมาวางขายในร้าน ขนาดข้าวขาวธรรมดา ที่มาจากจีน โฟชงก็ต้องนำเอามาผสมกับเห็ด Truffle ของฝรั่งเศสก่อนออกขาย


ไทยเราก็มีชื่อเสียง ทางด้านอาหารเช่นกัน แต่เรากลับไม่มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารระดับ A+ เหมือนกับที่ฝรั่งเศล ที่มี Fauchon หรือ Hediard และ เสปนมี Farga

อาจารย์สมคิด จาตุรศรีพิทักษ์ เคยเล่าให้ฟังว่า ประเทศไทย คนทำงานแทบตาย แต่รายได้นิดเดียว ฝรั่ง เกาหลี หรือสิงค์โปร์ ไม่ต้องทำไรมาก เอาแต่นั่งคิด วางแผน แล้วมาจ้างคนไทย ได้เงินมากกว่าหลายเท่า

การสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ทางด้านอาหาร ไม่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือเอกชน น่าจะเป็นทางออกหนึ่งให้กับเกษตกรไทยได้

ทำงานเหนื่อยๆ ค่าแรงจะได้คุ้มหน่อย!

ฉบับหน้าจะมาเขียนเรื่อง Fauchon ต่อครับ